ประเทศเมียนมานั้นได้ก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ทั้งเรื่องรูปแบบการเมืองการปกครองด้านเศรษฐกิจ การตลาด รวมไปถึงประเทศมีความสงบ รวมทั้งการ ลงทุนในประเทศเมียนมา และมีเสถียรภาพมากขึ้น

จากที่อยู่ใต้การปกครองโดยทหารก็ปรับมาสู่ประชาธิปไตยมากขึ้น จากระบบเศรษฐกิจที่ถูกควบคุมจากส่วนกลาง ก็เข้าสู่เศรษฐกิจเชิงตลาดมากขึ้น ทำให้ประเทศกำลังอยู่บนเส้นทางแห่งอนาคตที่สดใส

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้เปิดรับเงินลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ออกนโยบายหลายๆ อย่างเพื่อสร้างความทันสมัยในภาคเกษตรกรรม ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน และพยายามขยายการส่งออกให้มากขึ้นรวมทั้งผลักดันการขยายการผลิตที่ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าให้เข้าสู่ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย

Myanmar Economics Indicators
Myanmar Economics Indicators


การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก

และความพยายามผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ ทำให้ประเทศเมียนมากลายมาเป็นหนึ่งประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูงสุดในลำดับต้นๆ ของโลก และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.1 เปอร์เซ็นต์ ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี โดยในปี 2017 นั้น ประเทศเมียนมามี GDP โตขึ้น 6.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับประเทศไทยที่โตขึ้น 3.7 เปอร์เซ็นต์

การที่เศรษฐกิจเติบโตแบบนี้ทำให้เกิดชนชั้นกลางมากขึ้น ทั้งหาร ลงทุนในประเทศเมียนมา รวมไปถึงการบริโภคภายในประเทศที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งป็นโอกาสที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมในกลุ่ม FMCG (Fast Moving Consumer Goods) และธุรกิจภาคบริการ เช่น โรงเรียนเอกชน ธุรกิจบันเทิง เป็นต้น

ตัวเลขการบริโภคต่อหัวที่สูงขึ้นสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้บรรดาประเทศที่เป็นคู่ค้าอยากขยายตลาดมากขึ้น

สินค้า FMCG จากไทย เช่น กลุ่มเครื่องดื่ม ขนม อาหารกระป๋อง และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเพราะมีราคาไม่สูง คุณภาพดี และมีให้เลือกซื้อได้ง่าย

นอกเหนือจากไทยแล้ว สินค้าอุปโภคบริโภคและเครื่องใช้ในบ้านจากประเทศญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะมีคุณภาพสูง

ส่วนสินค้าจากเกาหลีโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเครื่องสำอางและของใช้ในบ้านจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษในกลุ่มคนรุ่นใหม่จากอิทธิพลของเพลง หนังและละครเกาหลี

ขณะที่ชาวเมียนมายังให้การยอมรับสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบจากประเทศตะวันตกมากกว่า

สินค้าจากจีนนั้นจะมีแพร่หลายในทุกกลุ่มสินค้า แต่ก็จะขายได้ในกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อน้อยเป็นหลัก เพราะเชื่อว่าคุณภาพต่ำและความปลอดภัยต่ำ

ลงทุนในประเทศเมียนมา

ลงทุนในประเทศเมียนมา
Myanmar Major Import Commodities 2016

"<yoastmark

ลงทุนในประเทศเมียนมา
Myanmar Major Export Markets 2016

 

นับตั้งแต่ปี 2012 ประเทศไทยเข้าไปลงทุนในประเทศเมียนมาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
จาก 1 หมื่นกว่าล้านบาท ขึ้นเป็นเกือบ 2 หมื่นล้านบาทในปี 2017 โดยส่วนใหญ่จะสนใจในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต และการแปรรูปอาหาร
ในขณะเดียวกันมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเช่นกัน จากข้อมูลของ IMF ในปี 2016 ประเทศไทยติดหนึ่งในสามของประเทศที่ส่งออกสินค้าสู่ประเทศเมียนมามากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะสินค้ากลุ่มอาหารอย่างเดียวก็มีมูลค่าถึง 482 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาคือ กลุ่มยานพาหนะและเครื่องจักร และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

การค้าระหว่างสองประเทศนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2018 การค้าบริเวณชายแดนมีมูลค่า 1,330 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศเมียนมาส่งออกคิดเป็นมูลค่า 393 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้า 941.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ผ่านทางด่านทั้งหมด 7 ด่าน ได้แก่ท่าขี้เหล็ก, เมียวดี, เกาะสอง, มะริด, ทิกิ (ทวาย), มอต่อง, เชียงตุง  

เรืยงลำดับการค้าบริเวณชายแดน 3 ลำดับแรก ได้ดังนี้ เมียวดี 816 ล้านเหรียญสหรัฐ มะริด 241 ล้านเหรียญสหรัฐ  เกาะสอง 179 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญของเมียนมาไปที่ประเทศไทย ได้แก่ สินค้าประมง เช่น ปู ปลา กุ้ง และยังมีหัวหอม งาดำ ใบชาตากแห้ง มะพร้าว และขมิ้น ขณะที่นำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องจักรผลิตเครื่องสำอาง สินค้ากลุ่มอาหาร อุปกรณ์การเกษตรและรถไถจากประเทศไทย

ด้วยมูลค่าการลงทุนมหาศาลนี้ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเมียนมาเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกัน ก็มีการปรับปรุงกฏหมายด้านการลงทุนในประเทศเมียนมา (MIL) เพื่อเอื้อให้นักลงทุนนักในและจากต่างประเทศมีกระบวนการการทำการค้าและการลงุทนที่คล่องตัวยิ่งขึ้นใน 3 ส่วนหลักๆ

  • ไม่จำเป็นต้องยื่นข้อเสนอการลงทุนให้คณะกรรมการการลงทุนเมียนมา (Myanmar Investment Commission) ตรวจสอบและอนุมัติก่อน
  • ได้รับข้อยกเว้นหรือส่วนลดทางภาษีถึง 7 ปี ตามพื้นที่ที่ได้รับการสนับสนุน
  • นักลงทุนเมียนมาและต่างชาติสามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนไปต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างสำหรับผู้ประกอบการไทยคือภาษีศุลกากรที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

ในปี 2017 การขายสินค้าและบริการเมียนมาจะต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 5 ในขณะที่ประเทศไทยต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 อย่างไรก็ตามธุรกิจในไทยนั้นต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่อัตราร้อยละ 20 ส่วนในเมียนมาเสียร้อยละ 25

นอกจากนี้ ประเทศเมียนมายังเป็นสมาชิกของ AFTA (ASEAN Free Trade Area) ซึ่งตามข้อตกลงการลดอัตราภาษีศุลกากรแก่สินค้านำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (CEPT) แล้วจะต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศในกลุ่ม ASEAN ลงร้อยละ 100 ภายในปี 2018

ผู้ประกอบการไทยนั้นสนใจลงทุนในเมืองอื่นๆ นอกเหนือจากเมื่อหลักๆ เช่น ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ซึ่งรวมไปถึงการมองหาโอกาสใหม่ๆ ในจังหวัดตะนาวศรีซึ่งอยู่ติดชายแดนไทยที่จังหวัดกาญจนบุรีที่ยังค่อนข้างล้าหลังอยู่

ผู้ประกอบการเหล่านั้นทำงานร่วมกับนักธุรกิจท้องถิ่นแถบทวาย มะริด และเกาะสอง ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญ อยู่ใกล้ประเทศไทย และมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว การขนส่งสินค้า การประมง และการผลิตยางพาราอย่างมาก

ตุนตุนวิน รองประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมเมืองมะริดได้ให้ข้อมูลว่า หอการค้าได้พากลุ่มนักธุรกิจไทยเข้าดูงานมากกว่า 50 ครั้งตั้งแต่ปี 2012

อีกทั้ง การที่ประเทศเมียนมาได้กระชับกระบวนการสำหรับนักลงทุนและเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลในเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา (เปิดแล้ว) เจาะพยูและทวาย (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) ก็ช่วยเปิดรับโอกาสการลงทุนจากฝั่งไทยมากขึ้น

เขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวานั้นได้อนุมัติการลงทุนไปแล้วเป็นจำนวน 1,195.85 ล้านเหรียญสหรัฐ จากแหล่งทุน 85 แหล่ง ใน 16 ประเทศ โดย 10 แหล่งทุนจากประเทศไทยมีมูลค่าการลงทุน 125.31 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.55 ในขณะที่ภาคการผลิตมีสัดส่วนสูงที่สุดคือร้อยละ 74.50 หรือเท่ากับ 896.80 ล้านเหรียญสหรัฐ

สิทธิพิเศษที่จูงใจนักลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ ลงทุนในประเทศเมียนมา มีดังนี้

สิทธิประโยชน์ภายใต้กฎหมายการลงทุนจากต่างประเทศ (Myanmar Foreign Investment Law)

  • งดเว้นภาษีเงินได้เป็นเวลา 5 ปี แล้วสามารถเพิ่มเวลาได้ตามผลสำเร็จของกิจการ
  • ลดค่าเสื่อมราคาของสินค้าทุน
  • ลดภาษีสินค้าส่งออก 50%
  • จ้างแรงงานต่างชาติได้ภายใต้กฎเดียวกันกับภาษีเงินได้ในประเทศ
  • ลดค่าใช้จ่ายของธุรกิจ เช่น การวิจัยและพัฒนา
  • งดเว้นภาษีศุลกากรการนำเข้าสินค้าทุน วัสดุก่อสร้าง และวัตถุดิบ
  • งดเว้นภาษีขายสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออก

สิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา, ทวาย และเจาะพยู

  • งดเว้นภาษีเงินได้เป็นเวลา 7 ปี ในเขตยกเว้น
  • งดเว้นภาษีเงินได้เป็นเวลา 5 ปี ในเขตส่งเสริมธุรกิจ
  • ลดภาษีเงินได้ 50% ในช่วงถัดไปอีก 5 ปี ในเขตยกเว้นและเขตส่งเสริมธุรกิจ
  • ลดภาษีเงินได้ 50% ในช่วงที่สามอีก 5 ปี ถ้ากำไรยังอยู่ในเงินทุนสำรองและถูกนำกลับไปลงทุนต่อภายใน 1 ปีนับจากวันที่มีเงินทุนสำรอง
  • สามารถเช่าที่ดินได้สูงสุด 75 ปี

 

เกี่ยวกับแฮปปิโอ้

แฮปปิโอ้เป็นผู้ให้บริการด้านการทำตลาดครบวงจรในประเทศเมียนมาและกลุ่มประเทศ CLMV โดยอยู่ในเครือของอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ  เราเชื่อมั่นในการสื่อสารที่ดี การร่วมกันสร้างสรรค์ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเราได้ที่ www.happioteam.com

References:

Facebook Comments
สามารถติดต่อเรา เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับ
Marketing, Design, Web และ Application ได้ที่
  Call Us   Messenger

Top Influencers in Cambodia to Keep an Eye On in 2023

Top 10 Digital Marketing Agencies in Myanmar and How to Choose The Right One For You

Holiday & Special Occasions in the CLMV Countries

Top 10 Digital Marketing Agencies in Cambodia and How to Choose the Right One for You

Vietnam Media Landscape 2022

Myanmar Media Landscape 2022